นี่คือ 5 อันดับข้อผิดพลาดในการทำโฆษณาบนเฟซบุ๊กที่เราพบมากที่สุด:
ในปัจจุบัน เฟซบุ๊กได้กลายเป็นช่องทางในการทำโฆษณาที่มีประสิทธิภาพและมีความแม่นยำมากที่สุด มีผู้ใช้มากกว่า 2.4 พันล้านคนในทุกเดือนและมีอัลกอริทึมขั้นสูงที่เข้าใจพฤติกรรมและความตั้งใจของผู้ใช้ การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊กเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการส่งข้อความที่เหมาะสมให้กับผู้รับที่เหมาะสมและในเวลาที่เหมาะสมอีกด้วย
หากคุณไม่ได้ทราบรายละเอียดทั้งหมดของการทำโฆษณาบนเฟซบุ๊ก คุณก็มีแนวโน้มที่จะทำข้อผิดพลาดเหล่านี้ซึ่งทำให้การทำโฆษณาของคุณนั้นล้มเหลว
1. ทดสอบความสนใจหลายอย่างในชุดโฆษณาเดียว
นักการตลาดหลายๆคนมักจะใส่ความสนใจ (Interest)หลายๆอย่างไว้ในชุดโฆษณาเพียงอันเดียว การใช้ความสนใจเป็นวิธีที่ดีในการหาผู้รับชมใหม่ (Audience) แต่วิธีนี้จะทำให้ไม่สามารถค้นหาความสนใจอื่นที่มีลักษณะคล้ายกับความสนใจตัวที่ทำยอดได้ นั่นจะทำให้โฆษณาไม่สามารถวัดค่าได้ ในทางกลับกันคุณควรที่จะสร้างหลายๆชุดโฆษณา (Ad set) และใส่ความสนใจไปอย่างละอัน (ควรหาความสนใจที่มีการทับซ้อนกันให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย) วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าความสนใจตัวไหนทำหน้าที่ของมันได้ดีที่สุด
2. การใช้จุดประสงค์ผิด: เฟซบุ๊กมีจุดประสงค์ให้เลือกถึง 11 จุดประสงค์ แต่ละจุดประสงค์จะโฟกัสในการเพิ่มประสิทธิภาพที่ต่างกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องการให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดโบรชัวร์ในหน้าเว็บไซต์หน้าแรก (Landing page) คุณก็ต้องเลือกจุดประสงค์ Conversion (แต่ก่อนอื่นอย่าลืมเรื่องการติดตามConversion) ถ้าคุณเลือกจุดประสงค์ผิด คุณก็จะสูญเสียทั้งเงินและเวลาให้กับสิ่งที่ไม่ได้ตอบสนองต่อผลลัพธ์ที่คุณอยากจะได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้จุดประสงค์อะไร ขอข้อเสนอ
3. การลืมใช้ Facebook Pixel
การติดตามและการรายงานผลเป็นสิ่งที่สำคัญในกลยุทธ์การทำตลาด ถ้าไม่มี Facebook Pixel คุณก็จะไม่สามารถติดตามกิจกรรม ที่เกิดขึ้นกับตัวโฆษณาของคุณและที่เว็บไซต์ของคุณได้ Pixel มีประโยชน์ในการ:
- เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาสำหรับ Conversion
- ติดตาม Conversion ในเว็บไซต์และในแอปพลิเคชัน
- สร้าง Custom audience ที่นำข้อมูลมาจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์รวมถึงพฤติกรรม สำหรับนำมาใช้ในการทำ Re-market ในภายหลัง
4. รันโฆษณาเฟซบุ๊กโดยไม่มีการติดตามผล
สิ่งที่สำคัญในการพัฒนาให้ได้ผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องจากการทำโฆษณาบนเฟซบุ๊กคือการวิเคราะห์แคมเปญของคุณอย่างต่อเนื่อง ดูที่ผลตอบแทนจากการจ่ายค่าโฆษณา ( Return on Ad spend), การคิดค่าโฆษณาต่อ 1 การกระทำ (CPA), ต้นทุนต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง (CPM), อัตราการคลิกผ่าน (CTR), ตัวชี้วัดความถี่ (Frequency) หลังจากนั้นก็นำมาปรับใช้กับตัวโฆษณา เช่นเดียวกับวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ควรทดสอบ A/B ให้ได้มากที่สุดที่เท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากนั้นก็นำผู้รับชม (Audience) ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดไปใส่ในชุดโฆษณาที่แยกต่างหากเพื่อที่เราจะสามารถเพิ่มงบประมาณไปในผู้รับชมที่มีประสิทธิภาพมากได้ (นี่คือวิธีที่เราทำที่ Audience IQ www.audience-iq.com)
5. ไม่ให้เวลาเฟซบุ๊กในการเพิ่มประสิทธิภาพ
ข้อผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือการที่คุณคาดหวังที่จะได้รับผลลัพธ์โดยทันทีจากแคมเปญของคุณ ระบบการแสดงโฆษณาบนเฟซบุ๊กปกติจะใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการเพิ่มประสิทธิภาพให้โฆษณา หรืออาจจะใช้เวลานานกว่านั้นถ้าคุณแก้ไขโฆษณาบ่อยๆ วิธีแก้ก็คือให้คุณรันโฆษณาก่อนอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนที่จะทำการแก้ไข ทุกครั้งที่ทำการการเปลี่ยนแปลงหรือเริ่มต้นแคมเปญใหม่และเพื่อให้เฟซบุ๊กสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด โฆษณาของคุณควรจะมีจำนวน Conversion อย่างน้อย 15-20 คนต่อสัปดาห์ ไม่อย่างนั้นประสิทธิภาพการทำงานจะไม่เสถียร ควรพยายามอย่าทำอะไรกับโฆษณาของคุณ เช่น หยุดชั่วคราวหรือปรับเปลี่ยนโฆษณาจนกว่าโฆษณาของคุณจะมีผู้เข้าร่วม 1,000 คน เพราะว่าอย่างน้อยคุณก็จะสามารถเรียนรู้อะไรบางอย่างจากโฆษณาของคุณ ถึงแม้คุณจะขายไม่ได้เลยก็ตาม
การโฆษณาบนเฟซบุ๊กอาจจะใช้เวลาพอสมควร แต่ในฐานะหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเผยแพร่ข้อความ มันจึงคุ้มค่าที่จะลงทุนและเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น